เมื่อตับป่วย ดูแลตัวเองได้อย่างไร
ตับ (Liver)เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของร่างกาย ทำหน้าที่เปลี่ยนสารอาหารต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ เป็นแหล่งสะสมสารอาหารเพื่อให้ร่างกายนำมาใช้ยามจำเป็น และยังมีหน้าที่สำคัญในการกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายด้วย
ถ้าตับผิดปกติจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย
โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของตับที่พบได้บ่อยก็คือ มะเร็งตับ ซึ่งโรคนี้จากสถิติถือเป็นมะเร็งอันดับ 1 ในผู้ชายไทย และนอกจากนี้โรคตับแข็ง ก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีคนเป็นกันจำนวนมาก ซึ่งปัจจัยหลักที่นำไปสู่โรคตับเกิดจาก
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี
- ความอ้วนและพฤติกรรมการบริโภค
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- การได้รับยาบางประเภท หรือสารพิษต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ภาวะไขมันเกาะตับ
ถึงแม้ตับจะเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ แต่กลับกลายว่าเป็นอวัยวะในร่างกายที่บอบบางและถูกทำลายได้ง่ายมาก หากเกิดแผลหรือการอักเสบ และไม่ได้รับการรักษา มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ในอนาคต เพราะตับเป็นอวัยวะที่คอยควบคุมการใช้สารอาหารและขับสารพิษในร่างกาย
ตับผิดปกติสามารถสังเกตอาการได้อย่างไร
เมื่อตับเกิดความผิดปกติ ร่างกายจะแสดงอาการต่างๆ เพื่อเป็นสัญญาณให้เรารู้ ซึ่งอาการของโรคตับมีหลายอาการแตกต่างกันไปตามสาเหตุและความรุนแรงของโรค แต่สามารถสังเกตอาการโดยรวมได้ ดังนี้
- ท้องบวม
- อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ
- อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม
- ปวดแน่นบริเวณชายโครงเป็นประจำ
- ท้องอืด จุดเสียด แน่นท้อง คล้ายอาหารไม่ย่อย
วิธีดูแลตับให้กลับมาแข็งแรงต้องทำอย่างไร
เมื่อร่างกายรู้สึกมีอาการผิดปกติ และคาดว่าเป็นผลมาจากภาวะความผิดปกติของตับตามที่สังเกตอาการไปข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำควบคู่ไปกับวิธีการดูแลตับได้ด้วยตัวเองดังนี้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอการนอนหลับในเวลากลางคืนช่วยฟื้นฟูตับได้ เพราะขณะที่หลับสนิทเลือดจะไหลเวียนได้ดี สารอาหารในเลือดจะไปซ่อมแซม และบำรุงตับให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สารประกอบที่อยู่ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเข้าไปขัดขวางการทำงานของตับ ส่งผลให้ไขมันสะสมในเซลล์ตับมากขึ้นจนเกิดเป็นไขมันพอกตับ และหากตับเกิดการอักเสบเรื้อรังจะนำไปสู่การเกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้
- ลดความถี่ในการรับประทานอาหารสำเร็จรูปในอาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่มักมีสารกันบูดหรือสารกันเสีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ หากร่างกายได้รับสารกันเสียมากเกินไปตับจะทำงานหนักมากและส่งผลต่อการกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้
- ไม่รับประทานยาเกินความจำเป็นการรับประทานยามากเกินความจำเป็น หรือรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานส่งผลให้ตับทำงานหนักขึ้น ดังนั้นควรรับประทานยาเท่าที่จำเป็นตามแพทย์สั่งและไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
- ไม่รับประทานอาหารค้างคืนหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเก่าเก็บ เพราะในอาหารบางประเภทที่ถูกปรุงไว้นานเกินไปจะเสี่ยงกับสารเคมี หรือสิ่งปนเปื้อนได้ เช่น สารโลหะหนัก สารก่อมะเร็ง
- ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอื่นๆ เช่น การเลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงมลพิษจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน สารพิษ สารเคมี นอกจากนี้ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่นอนดึก และต้องหลีกเลี่ยงความเครียด