Bangpakok Hospital

มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal cancer)

20 พ.ย. 2567


มะเร็งลำไส้ใหญ่
(Colorectal cancer)
   มะเร็งลำไส้เป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 3 และเป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 ทั่วโลก หากแบ่งตามเพศ พบว่ามะเร็งชนิดนี้พบบ่อยอันดับที่ 3 ในเพศชาย และอันดับที่ 2 ในเพศหญิง ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งจะเพิ่มมากขึ้นเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป และจะพบมากสุดในช่วงอายุมากกว่า 80 ปี แต่อย่างไรก็ตามมะเร็งลำไส้ในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 30 ปีก็ยังพบได้ 10-20%
   ลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ ประกอบด้วย ลำไส้ ไส้ตรงและรูทวารหนัก โดยลำไส้ใหญ่สามารถแบ่งได้อีก เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนขวาซึ่งมีหน้าที่ดูซึมน้ำดูดน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ (โซเดียมและโปรแตสเซียม) และน้ำตาลกลูโคสที่เหลือค้างอยู่ในกากอาหารกลับเข้า สู่หลอดเลือดฝอย และลำไส้ส่วนซ้ายหน้าที่หลักคือเป็นที่เก็บและขับถ่ายอุจจาระ ลำไส้ใหญ่ยังหลั่งเยื่อเมือกและเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียหลายชนิดที่ทำประโยชน์และไม่เกิดโทษ เช่น แบคทีเรียที่ช่วยสังเคราะห์วิตามินบี 12 และวิตามินเคไส้ตรง หรือลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย หน้าที่หลักคือ การบีบตัวเพื่อช่วยในการขับถ่ายอุจจาระ อาจจะมีการดูดซึมน้ำ เกลือแร่ น้ำตาล และยาได้บางชนิดพบว่า อัตราการเกิดมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย 49.66% และ มะเร็งลำไส้ใหญ่ 49.09% โดยตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ ลำไส้ซิกมอยด์(Sigmoid colon)  55%  ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดขึ้นบน (Ascending colon) 23.3% ลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง (Transverse colon) 8.5% ลำไส้ใหญ่ส่วนทอดลงล่าง (Descending colon) 8.1% ซีกั้ม (Caecum)  เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนต้นเหนือท้องน้อย 8.0%
สาเหตุ
สาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ชัดเจน แต่พบความสัมพันธ์ของการเกิดมะเร็งลำไส้ได้แก่
  1. กรรมพันธุ์ พบว่า 20% ของมะเร็งลำไส้ใหญ่สัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ โดยพบว่าถ้าบุคคลในครอบครัว ญาติสายตรงลำดับแรก ได้แก่ พ่อ แม่ พี่น้อง มีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดโรคในอายุน้อยกว่า 60 ปี จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากกว่าคนทั่วไปเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภาวะลำไส้ผิดปกติบางชนิดที่เกิดจากกรรมพันธุ์ก็มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ เช่น ติ่งเนื้อในลำไส้ที่เกิดจากกรรมพันธุ์ Familial Adenomatous Polyposis (FAP), Hereditary nonpolyposis colon cancer(HNPCC), Lynch syndrome หรือยีนส์ Mismatch Repair Gene (MMR)
  2. อาหาร ปัจจุบันพบว่า อาหารที่มีไขมันสูง เนื้อสัตว์ อาหารปิ้งย่าง และอาหารที่มีกากใยต่ำ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ โดยอาหารที่มีไขมันสูง จะเพิ่มการหลั่งน้ำดี เพิ่มแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้อีกด้วย
  3. โรคลำไส้อื่นๆ ติ่งเนื้อ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือเนื้องอกบางชนิด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้
  4. ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การสัมผัสสารก่อมะเร็ง ภาวะอ้วนน้ำหนักเกิด พฤติกรรมเนือยนิ่ง(Sedentary behavior) การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ หรือประวัติการได้รับรังสีรักษาในบริเวณอุ้งเชิงกราน
กลไกการเกิด
   การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักเป็นไปตามขั้นตอนดังนี้  คือ เมื่อเซลล์ลำไส้ของร่ายกายได้รับสิ่งกระตุ้น เช่น สารก่อมะเร็ง เซลล์จะเริ่มมีการอักเสบ มีการเพิ่มผิดปกติของเซลล์ เมื่อมีการอักเสบต่อเนื่องเซลล์เหล่านี้จะเริ่มจากการกลายพันธุ์ มีการเพิ่มขึ้นของขนาดเยื่อบุที่เติบโตเร็ว จนทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลงจากเดิม เป็นความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็ง (Dysplasia) ต่อมาเกิดติ่งเนื้อของเยื่อบุลำไส้แตกกิ่ง (Villous) แล้วกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
การแพร่กระจาย ที่พบบ่อยของมะเร็งลำไส้
  1. การกระจายไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง เกิดจากเซลล์มะเร็งต้นกำเนิดกระจายไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียง
  2. การกระจายผ่านทางเดินน้ำเหลือง พบว่า 60% ของมะเร็งลำไส้เกิดจากการกระจายผ่านต่อมน้ำเหลือง
  3. การแพร่กระจายตามกระแสเลือด พบว่า 30% ของมะเร็งลำไส้เกิดจากการแพร่กระจายตามกระแสเลือด
  4. เกิดจากเซลล์มะเร็งหลุดลอกจากลำไส้แล้วแพร่กระจายไปในเยื่อบุช่องท้องและอุ้งเชิงกราน
อาการและอาการแสดงของมะเร็งลำไส้
  1. ถ่ายอุจจาระมีเลือดปนหรือถ่ายเป็นเลือด หรือ มีประวัติถ่ายอุจจาระผิดปกติ อุจจาระมีลักษณะเป็นมูกปนเลือดก็ได้
  2. การขับถ่ายที่ผิดปกติ หรือมีนิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไป (Bowel habit change) เช่น ท้องผูก ถ่ายบ่อยขึ้น อุจจาระลำเล็กลง ท้องผูกสลับท้องเสีย
  3. กลุ่มอาการที่แสดงถึงลำไส้อุดตัน เช่น ปวดท้องเรื้อรัง แน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ไม่ถ่ายอุจจาระ ไม่ผายลม
  4. คลำก้อนได้ที่หน้าท้อง
  5. อาการทางระบบอื่นๆ เช่น อ่อนเพลียไม่มีสาเหตุ ผู้ป่วยอาจจะมาด้วยอาการอ่อนเพลีย ซีด ภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรังในทางเดินอาหาร หรือมีน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
การวินิจฉัย
   ในระยะแรก มะเร็งลำไส้ใหญ่มักจะไม่มีอาการชัดเจน จึงเป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยได้ในระยะแรกเริ่ม ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการมากแล้ว จึงทำให้ยากต่อการรักษา การตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์ คือ การตรวจร่างกายทั่วไปร่วมกับการตรวจทางทวารหนัก (Digital Rectal Examination) ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood) คือ การตรวจอุจจาระเพื่อหาเม็ดเลือดแดงที่อาจมีแอบซ่อนอยู่ หรือเป็นการตรวจหาเลือดปริมาณน้อยๆ ที่ปนอยู่ในอุจจาระ (Occult Blood) หากมีเลือดออกในทางเดินอาหารอย่างน้อย 5 มิลลิลิตร สามารถตรวจเจอได้ด้วยวิธีนี้
การตรวจอื่นๆ
  1. การตรวจเอกซเรย์ ลำไส้ใหญ่โดยการสวนสารทึบรังสีชนิดแป้งแบเรียม (Barium enema) เป็นการตรวจดูพยาธิสภาพและความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ ได้แก่ การตีบตันหรือการอุดตันของลำไส้ใหญ่ ก้อนเนื้องอก หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่
  2. การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Flexible sigmoidoscopy) วิธีนี้จะสามารถตรวจได้เฉพาะลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ไม่สามารถเห็นลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด จึงมักตรวจร่วมกับวิธีอื่นๆ เช่น ร่วมกับการทำ Barium enema
  3. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ในลำไส้ใหญ่ (Computed tomography colonography)
  4. การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) คือ การส่องกล้องเข้าไปทางทวารหนัก เพื่อดูลักษณะของลำไส้ใหญ่ วิธีนี้เป็นที่นิยมและมีประสิทธิภาพ เป็นวิธีการตรวจลำไส้ใหญ่ที่ละเอียดแม่นยำ เนื่องจากเป็นการส่องกล้องให้เห็นลำไส้ใหญ่ทั้งหมด หากพบติ่งเนื้อที่สงสัยมะเร็ง แพทย์สามารถตัดชิ้นเนื้อเพื่อรักษา สะกิดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจวิเคราะห์ดูผลทางพยาธิสภาพ หากมีเลือดออกในลำไส้ แพทย์ยังสามารถหยุดเลือดที่ออกมาจากก้อนหรือผนังลำไส้ ได้ในการส่องกล้องครั้งเดียว
การรักษา
   การรักษาหลัก คือ การผ่าตัด ร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด การฉายแสง การรักษาแบบมุ่งเป้า และการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดในกรณีที่มีการแพร่กระจายของมะเร็ง มีการวิจัยพบว่า หากรักษามะเร็งลำไส้ในระยะแรกได้ ผู้ป่วยจะอัตราปลอดโรคใน 5 ปี มากกว่า 90% ในกรณีที่มะเร็งเป็นระยะลุกลาม การให้ยาเคมีบำบัดเพื่อประคับประคอง มีประโยชน์ในการช่วยลดเซลล์มะเร็ง เพิ่มคุณภาพชีวิตและช่วยเพิ่มระยะเวลาการรอดชีวิตได้
การป้องกัน
เนื่องจากมะเร็งลำไส้เกิดจากหลายสาเหตุและปัจจัย การป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจึงจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในหลายด้าน เช่น
  1. อาหาร
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
  • อาหารแปรรูป เช่น อาหารสำเร็จรูป ซีเรียลอาหารเช้า บิสกิต เครื่องดื่มอัดลม โยเกิร์ตรสผลไม้ ซุปสำเร็จรูป อาหารแช่แข็งสำเร็จรูป เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ลูกชิ้น ไส้กรอก หมูยอ เบคอน กุนเชียง แฮม และปลาแท่ง เนื่องจาก อาหารเหล่านี้มีสารปรุงแต่ง สารเคมี รวมถึงสารกันบูด ที่เป็นสารก่อมะเร็ง
  • อาหารที่ไหม้เกรียม คือ อาหารที่ทำให้สุกโดยให้ความร้อนที่สูง เช่น การปิ้ง การย่าง การรมควัน หรือ การทอดจนอาหารไหม้เกรียม อาหารพวกนี้จะมีสารก่อมะเร็ง Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs)
  • เนื้อสัตว์ที่มีสีแดง ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ อาหารเหล่านี้มีไขมันอิ่มตัวสูง มีโอกาสทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้(Probiotics) และกระตุ้นการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง เมื่อนำไปประกอบอาหารเหล่านี้ ไปประกอบอาหาร ปิ้ง ย่าง ทอดจนไหม้เกรียม จะก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วยเช่นกัน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยไม่จำเป็น มักมีการเข้าใจผิดว่า ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) คือยาแก้อักเสบ ผู้ป่วยมักซื้อยาเหล่านี้กินเอง จากร้านขายยา เพราะเข้าใจว่าลดการอักเสบ แต่ยาเหล่านี้เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การกินยาปฏิชีวนะต่อเนื่องโดยไม่จำเป็น จะส่งผลให้ร่างกายเกิดเชื้อดื้อยา และเป็นการทำลายจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ที่มีส่วนในช่วยป้องกันการมะเร็ง
อาหารที่ควรรับประทาน
  • ผัก ผลไม้สด อาหารที่มีกากใย ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย ถั่วต่างๆ อาหารที่มีกากใย จะช่วยเพิ่มน้ำหนักอุจจาระ ช่วยลดปริมาณไขมันในลำไส้ใหญ่ เป็นอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ (Probiotics) ซึ่งมีส่วนป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้
  • อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาตัวเล็ก งาดำ เต้าหู้ นม ไข่ อาหารเหล่านี้มีวิตามินและแร่ธาตุอยู่มาก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียมและวิตามินดี พบว่า มีส่วนช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์และป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง
  • อาหารที่มีแบคทีเรียโพรไบโอติกส์สูง (Probiotics) เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต กิมจิ ถั่วหมัก เทมเป้ นมหมัก (Kefir)
ชาหมักคอมบูชา โพรไบโอติกส์จะเป็นจุลินทรีย์ที่สามารถพบได้ในร่างกาย ช่วยในการทำงานของระบบทางเดินอาหาร สร้างเกราะป้องกันบริเวณเยื่อบุลำไส้ กระตุ้นระบบการย่อยอาหารในร่างกายจากการสร้างเอมไซม์ ลดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
  • อาหารที่กระตุ้นการเจริญเติบโตและการทำงานของแบคทีเรียโพรไบโอติกส์ (Prebiotics) พบได้ในหัวหอม กระเทียม ธัญพืชต่างๆ พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วลูกไก่ ถั่วลันเตา กล้วยหอม แอปเปิ้ล ไฟเบอร์ในผัก เช่น กระหล่ำปลี หน่อไม้ฝรั่ง บล็อคโคลี และผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น
  1. ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต
  • การเลิกสูบบุหรี่ พบว่าการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้และอัตราการตาย
  • การจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • การควบคุมน้ำหนัก
  1. การตรวจสุขภาพตามเกณฑ์อายุเป็นประจำ จะช่วยคัดกรองมะเร็งในระยะแรกเริ่มได้ กรณีมะเร็งลำไส้ใหญ่ หากตรวจเจอติ่งเนื้อ ก้อนในลำไส้ หรือ ภาวะลำไส้อักเสบ หากรักษาในระยะแรกเริ่มจะช่วยป้องกันการเป็นมะเร็งลำไส้ในอนาคตได้
   วิธีการป้องกันมะเร็งลำไส้เหล่านี้ กรณีที่ยังไม่เกิดโรคจะสามารถช่วยลดอัตราการตายจากมะเร็งลำไส้ได้ 35% และแม้ว่ากว่าเกิดโรคแล้วการปรับพฤติกรรมเหล่านี้ยังคงช่วยลดอัตราการตายได้ถึง 53% กรณีที่ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแล้วการปรับพฤติกรรมสามารถช่วยลดอัตราการตายได้ 12%
มะเร็งลำไส้ใหญ่ถึงแม้ว่าจะเกิดได้จากหลายสาเหตุและโรคมีความรุนแรงหากพบในระยะท้าย ทำให้เป็นโรคที่สร้างความวิตกกังวลหากเกิดกับตัวเราหรือคนใกล้ชิด แต่ปัจจุบันด้วยวิทยาการความก้าวหน้าและวิจัย เราค้นพบสาเหตุและการป้องกันได้หลายทาง มะเร็งหลายชนิด ไม่สามารถตรวจหาได้ในระยะแรกเริ่มทำให้ยากต่อการวินิจฉัย เรามักจะตรวจเจอมะเร็งก็ต่อเมื่อมีการกระจาย หรือมีอาการมากแล้ว การรักษามะเร็งในระยะท้ายจึงทำได้เพียงการรักษาแบบประคับประคอง แต่มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่สามารถตรวจพบได้ในระยะแรกเริ่ม ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ร่วมกับการปรับพฤติกรรมที่มีความเสี่ยง การดูแลสุขภาพ การออกกำลังและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

Reference
  1. Duan B. Colorectal cancer: An overview. Gastrointestinal Cancers [Internet]. September 30, 2022. Accessed November 8, 2024. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK586003/.
  2. American Cancer Society. Colorectal Cancer Screening Tests | Sigmoidoscopy & Colonoscopy. www.cancer.org. Published March 4, 2024. https://www.cancer.org/cancer/types/colon-rectal-cancer/detection-diagnosis-staging/screening-tests-used.htm
Go to top
Copyright © 2015 Bangpakok Hospital All rights reserved.