Bangpakok Hospital

ปรับพฤติกรรม ลดโซเดียม ลดเค็ม ลดโรค

12 มี.ค. 2568


     อีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน คือการบริโภคอาหารหรือการใช้เครื่องปรุงที่มีโซเดียมมากเกินไป ถึงแม้โซเดียมจะเป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย คือช่วยรักษาสมดุลของน้ำและความดันโลหิต แต่การที่ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปก็ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว คือก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้
โซเดียมมีอยู่ในอาหารประเภทใดบ้าง
     ปกติแล้วร่างกายจะได้รับโซเดียมจากเกลือที่ใช้ในการปรุงอาหาร แต่ที่นอกเหนือจากเกลือนั้น โซเดียมยังแฝงอยู่ในอาหารอีกมากมายหลายประเภทโดยที่เราอาจนึกไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น
  1. เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ อย่างน้ำปลา ซีอิ๊ว กะปิ ซอสหอยนางรม ปลาร้า ซุปสำเร็จรูป ผงชูรส หรือเครื่องปรุงรสแทบทุกชนิด
  2. อาหารแปรรูป เช่น อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง ขนมกรุบกรอบ รวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆ
  3. ขนมที่มีการใช้ผงฟูเป็นส่วนประกอบ เช่น ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เพราะในผงฟูจะมีปริมาณโซเดียมสูง
ร่างกายต้องการโซเดียมวันละเท่าไหร่
     ในแต่ละวัน ร่างกายควรได้รับโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสม คือ ไม่ควรกินโซเดียมเกิน 1500- 2,000 มิลลิกรัม หรือเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา โดยเทียบกับน้ำปลาไม่เกิน 4 ช้อนชา การ ‘กินเค็ม’ มากๆ หรือได้รับโซเดียมจากอาหารมากเกินความจำเป็นจะส่งผลต่อร่างกายและก่อให้เกิดโรคต่างๆ อย่าง โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้
แนวทางการปรับพฤติกรรมเพื่อลดการกินเค็มและโซเดียม
  1. เลือกรับประทานอาหารสดตามธรรมชาติ หากต้องการปรุงอาหารควรเลือกใช้เครื่องปรุงรสให้น้อยที่สุด หรือเลือกชนิดโซเดียมต่ำ
  2. หลีกเลี่ยงการใส่ผงชูรส
  3. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ขนมกรุบกรอบ และเบเกอรี่ทุกชนิด
  4. ลดการใช้ซอสปรุงรสหรือน้ำจิ้มประกอบการกินอาหาร
  5. ปรับนิสัยการรับประทานอาหารให้กินรสจืดขึ้น เพื่อลดการเติมเครื่องปรุงรส
  6. อ่านฉลากโภชนาการก่อนซื้อหรือก่อนรับประทาน โดยเฉพาะดูปริมาณโซเดียมในอาหารนั้นๆ
     การลดการกินเค็มที่ดี คือการปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม เน้นกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่กินอาหารรสจัดหรือรสเค็มมากเกินไป เพราะการกินเค็มจะส่งผลต่อการทำงานของไต ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด โรคไต นั่นเอง และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือควรตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองความผิดปกติของร่างกาย หากพบความเสี่ยงหรือรอยโรคใดๆ แพทย์จะได้แนะนำเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค หรือรีบทำการรักษาอย่างตรงจุด ก่อนที่โรคจะลุกลามจนกลายเป็นโรคเรื้อรังที่ยากต่อการรักษา
 
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการนัดหมายแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา
โทร. 0-2109-1111 , 0-2109-2222
Go to top
Copyright © 2015 Bangpakok Hospital All rights reserved.